นโยบายด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในหลายแง่มุมหลังจากการทบทวนนโยบายในเชิงลึกเมื่อ
6 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาวางตำแหน่งของประเทศไว้ในฐานะประเทศที่สามารถส่งมอบระบบพลังงานที่น่าเชื่อถือ
ราคาไม่แพงและยั่งยืน แนวโน้มที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ
การฟื้นตัวของการผลิตน้ำมันและก๊าซที่เคยซบเซา การเพิ่มยอดการผลิตก๊าซด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดทำให้เกมส์ในตลาดอเมริกาเหนือเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมพลังงานของอเมริกาเองและทั่วโลก
เช่น ทำให้ราคาพลังงานลดลง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในทุกภาคส่วนลดลงตามไปด้วย
ด้วยมาตรการด้านประสิทธิภาพพลังงานที่เข้มแข็งในการคมนาคมขนส่ง
โดยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการกำกับดูแลโรงไฟฟ้าใหม่และที่มีอยู่เดิมและกิจกรรมอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง การปฏิวัติพลังงานในครั้งนี้ของสหรัฐอเมริกาส่งผลต่อตลาดพลังงาน
การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การแข่งขันทางเศรษฐกิจ
และศักยภาพด้านความมั่นคงด้านพลังงาน ภูมิศาสตร์การเมือง และต่อเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศมีความเข้มแข็งมากขึ้นตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
มีการผลิตน้ำมัน ก๊าซจากชั้นหินดินดานและพลังงานจากชีวมวลภายในประเทศไปพร้อมๆกับมาตรการด้านอุปสงค์
เช่น นโยบายสนับสนุนประสิทธิภาพด้านพลังงาน ลดการใช้พลังงานในการคมนาคมขนส่ง ซึ่งอาจส่งผลให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเองได้ภายในปี
2035
การใช้เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันดิบที่พัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้น
ที่เรียกว่า hydraulic fracturing หรือที่รู้จักกันสั้นๆว่า
“fracking” ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีผลระยะกลางทำให้อุปทานภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาพประกอบจาก https://sites.psu.edu/fracking1/wp-content/uploads/sites/26686/2015/04/
cropped-fracking-infographic.jpg
กรอบนโยบายด้านพลังงานฉบับใหม่
จากเอกสารด้านนโยบาย “President’s blueprint for a secure Energy Future” เผยแพร่ในปี 2011 ทำให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอุตสาหกรรม
ตลอดจนสาธารณชน เห็นทิศทางนโยบายระยะกลางของรัฐบาลกลางชัดเจนมากขึ้น
ที่จะขยายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานความร้อนจากใต้พิภพเป็น
2 เท่าในปี 2020 ลดการนำเข้าน้ำมันลงครึ่งหนึ่งภายใน 10 ปี
และเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานเป็น 2 เท่าภายในปี 2030
พร้อมทั้งเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดในระดับนานาชาติ
ปี 2012
สหรัฐอเมริกาประกาศใช้ยุทธศาสตร์ “All-of-the-Above”
ซึ่งกำหนดเป้าหมายพร้อมแผนปฏิบัติการไว้ 3 ประการ คือ (1) สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการสร้างงาน
(2) ส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และ (3) ใช้เทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำ
การสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน
สหรัฐอเมริกาจะเร่งผลักดันเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ
เพิ่มปริมาณการจ้างงาน ลดการพึ่งพิงการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล
และลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน โดยจะส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
รถไฟความเร็วสูง แบตเตอรี่รถยนต์ การใช้ไฟฟ้าแบบชาญฉลาด (smart grid) และอาคารประหยัดพลังงาน โดยการออกกฎหมายและมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
ต่างๆ เช่น
- American
Recovery and Reinvestment Act (ARRA) ประกาศใช้ในปี 2009
สหรัฐอเมริกาลงทุนกว่า 80
ล้านดอลลาร์สหรัฐในภาคอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เทคโนโลยีสะอาด
นวัตกรรมด้านยานยนต์และเซลล์เชื้อเพลิง รวมทั้งระบบ smart grid นอกจากนี้ ยังมีมาตรการ CAR (Car Allowance Rebate System) ที่ให้เงินจำนวน 3,500 – 4,500
ดอลลาร์สหรัฐแก่ผู้ที่นำรถเก่าซึ่งเข้าข่ายที่กำหนด มาแลกซื้อรถใหม่ ในช่วง ก.ค. –
ส.ค. 2009 ทำให้สามารถกำจัดรถเก่าได้ถึง 7 แสนคันและช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ระดับหนึ่ง
- Energy
Efficiency Standards เพิ่มมาตรฐานการผลิตเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มสมรรถภาพในการประหยัดพลังงาน
- Executive
Order on Federal Sustainability ให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ
เป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน
โดยตั้งเป้าที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 28 ภายในปี 2020 เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน
และลดการใช้เชื้อเพลิงในการคมนาคม
- Efficiency
Standards for Cars and Trucks เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในเดือนมิถุนายน 2014 องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency, EPA) เสนอแผนพลังงานสะอาด
(Clean Power Plan) เพื่อลดมลพิษจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่
พร้อมทั้งออกคู่มือเพื่อให้มลรัฐต่างๆนำไปจัดทำแผนของตนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
โดยกำหนดว่ากฎระเบียบข้อกำหนดต่างๆจะต้องเสร็จเรียบร้อยภายในเดือนมิถุนายน
2016
นโยบายด้านประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency policies)
มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะที่ความต้องการด้านพลังงานลดลง
สหรัฐอเมริกามีความก้าวหน้าในการดำเนินการด้านนี้เป็นอย่างดี
คาดการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นนโยบายระยะกลาง โดย ARRA ลงทุน 12 ล้านเหรียญสหรัฐในโปรแกรมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้แก่บ้านพักอาศัยในเขตผู้มีรายได้ต่ำ
อาคารที่ทำการของรัฐและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
โดยกำหนดรหัสพลังงานสำหรับอาคารพาณิชย์และอาคารที่พักอาศัยสร้างใหม่ให้ประหยัดพลังงานได้
30 % เมื่อเทียบกับอาคารที่สร้างขึ้นในปี 2006
การพัฒนาด้าน smart grid มีความก้าวหน้าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
อาคารบ้านเรือนกว่า 33 ล้านหลังคาเรือนติดตั้งมิเตอร์เพื่อวัดการใช้ไฟฟ้าอย่างชาญฉลาดนี้
ส่วนเป้าหมายนโยบายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้ได้
2 เท่าที่ผลิตได้ในปี 2012 ภายในปี 2020
ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจนว่าจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างไร
ทำให้ผู้ลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในโครงการด้านนี้ของรัฐบาลกลาง
กำลังการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของสหรัฐอเมริกา
ก่อให้เกิดข้อกังวลใจด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
ด้วยยังขาดโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางรถไฟและมาตรการความปลอดภัยที่รองรับขนาดการผลิตดังกล่าว
สถานการณ์ด้านพลังงาน
ในปี
2014 สหรัฐอเมริกามีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 4093 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ประมาณ
67 % เป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
(ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และปิโตรเลียม)
โดยมีส่วนแบ่งพลังงานจากแหล่งต่างๆ ดังแสดงในภาพ
ภาพ แสดงสัดส่วนพลังงานจากแหล่งต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ในปี
2014
ความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติของไทย และ Renewable
Energy Institute International ของสหรัฐฯ
ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือวิจัย พัฒนา และสาธิตเทคโนโลยีการแปรสภาพชีวมวลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
และวัสดุชีวภาพ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2006
และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2011
ในปี 2007
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และ
กระทรวงพลังงานได้ร่วมกันดำเนินโครงการความร่วมมือด้านเชื้อเพลิงชีวภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
เพื่อเปรียบเทียบความเหมาะสมของเทคโนโลยีและแสวงหาแนวทางความร่วมมือในการถ่ายทอดองค์ความรู้จากสหรัฐฯ
ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีพลังงาน เอเปค ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 18-19
มิ.ย. 2010 ณ เมือง ฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น รัฐมนตรีพลังงานของไทยได้หารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ
โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
โดยเฉพาะการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (Celluosic 2nd
Generation of Biofuel) และความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์
โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย รวมทั้งแนวทางการกำกับดูแล
และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
สหรัฐอเมริกามีท่าทีเปิดรับความร่วมมือด้านพลังงานกับไทยในทุกสาขารวมทั้งนิวเคลียร์
โดยผ่านหน่วยงาน United
States Trade and Development Agency (USTDA)