สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 นี้ว่า ความต้องการของผู้บริโภคเป็นเหตุผลเดียวที่ การรถไฟแห่งประเทศเยอรมนี ต้องการใช้พลังงานทดแทนจากพลังงานลม น้ำ และแสงอาทิตย์ เป็นแหล่งพลังงานของการเดินรถไฟ
Hans-Juergen Witschke หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงของพลังงานการรถไฟ เยอรมนี กล่าวว่า “ผู้บริโภคได้แสดงเจตจำนงที่จะให้เราออกจากการใช้พลังงานนิวเคลียร์แล้วเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น” เจตจำนงที่ต้องการใช้พลังงานสีเขียว หรือพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีขึ้นก่อนที่จะเกิดอุบัติภัยกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ เมือง ฟูกุชิมา ประเทศญึ่ปุ่นในเดือนมีนาคม 2554 และทันที่ที่เกิดเหตุ ก็เริ่มมีการขับเคลื่อนการใช้พลังงานทดแทนทันที
รัฐบาลเยอรมนีจะระงับการพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ และได้ปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วจำนวน 8 แห่งและที่เหลืออีก 9 แห่งจะต้องปิดลงให้หมดภายในปี 2022 นี้ ก่อนหน้านี้การเดินรถไฟได้อาศัยพลังงานจากนิวเคลียร์มากที่สุด
Hans-Juergen Witschke กล่าวว่า “ การป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของลูกค้า การใช้พลังงานทดแทนอาจจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่ก็สามารถที่จะเลือกใช้พลังงานทดแทนจากแหล่งต่างๆร่วมกันอย่างชาญฉลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรามั่นใจว่าการตัดหรือไม่ให้มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำให้เราได้เปรียบในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน”
ภายในปี 2014 คาดว่าจะใช้พลังงานทดแทนประมาณ 1 ใน 3 ของกระแสไฟฟ้ากับการเดินรถไฟที่วิ่งระยะไกลในประเทศ
ประเทศเยอรมนีมีรถไฟจำนวนมากวิ่งทั้งในตัวเมือง และในเขตเมืองต่างๆ ที่เมืองฮัมบูร์กและเมืองซาร์ลันด์ ได้ใช้พลังงานทดแทนทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ในการเดินรถไฟ
การเดินรถไฟในแต่ละปีจะใช้ไฟฟ้าถึง 12 TWh ซึ่งมากพอกับการใช้ไฟฟ้าของ 3.2 ล้านครัวเรือนในเมืองเบอร์ลิน การรถไฟเยอรมนีใช้ไฟฟ้าถึง 2 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในเยอรมนีทั้งหมด เฉพาะรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งระหว่างเมืองแฟรงเฟริตกับเบอร์ลิน ก็ใช้ไฟฟ้าถึง 4800 kw/h ซึ่งเพียงพอกับการใช้สำหรับ 4 ครอบครัวตลอดทั้งปี
เยอรมนีเป็นผู้นำการใช้พลังงานหมุนเวียนของโลก พลังงาน 17 เปอร์เซ็นต์มาจากพลังงานทดแทน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์จากปี 2000
Hans-Juergen Witschke กล่าวว่า “รัฐบาลเยอรมนีมีจุดมุ่งหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการนำพลังงานทดแทนมาใช้ให้มากขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020 และ 80 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050 ขณะที่การรถไฟอย่างเดียวต้องใช้พลังงานถึง 30-40 เปอร์เซนต์ภายในปี 2050 และอาจจะถึง 100 เปอร์เซนต์ภายในกลางศตวรรษนี้ ผู้โดยสารและคู่ค้าทางธุรกิจอย่างบริษัท Audi สมัครใจที่จะจ่ายค่าบริการพิเศษของการขนส่งแบบปลอดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2-free) สำหรับการใช้พลังงานสีเขียว และยังกล่าวอีกว่า ความต้องการผลผลิตที่ปลอดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีสูงกว่าที่คาดไว้เสียอีกซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าการใช้พลังงานทดแทนจะขึ้นไปถึงจุดเป้าหมายที่วางไว้เกิน 40 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020” และเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนี้ได้ การรถไฟได้ใช้พลังงานลมจาก อุทยานลม หรือ wind park แล้วสองแห่งที่เมืองบรันเดนบู (Brandenburg) และในเดือนกรกฏคมนี้ได้เซ็นต์สัญญาร่วมกับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า RWE เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวน 900 kw/h ต่อปี จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจำนวน 14 แห่ง ซึ่งเพียงพอสำหรับ 250,000 ครัวเรือน RWE จะจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการรถไฟตลอด 15 ปี ซึ่งคิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของการรถไฟ
มีข้อกังขาเกี่ยวกับความเชื่อมั่นตลอดจนความจุของการเก็บพลังงานทดแทน Witschke กล่าวว่า “เรากำลังเรียนรู้จากการใช้พลังงานลม เราเจอคำถามเดียวกันว่าจะทำอย่างไรหากไม่มีลม จากประสบการณ์เรามีลมมากเกินไป แต่หากเครื่องปั่นกังหันลมไม่ทำงานจะเป็นปัญหามากกว่ามีลมไม่พอ”
Witschke ได้กล่าวอีกว่า “จะมีผลกระทบทางสัญญลักษณ์ จากการที่การรถไฟซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นก้าวใหญ่กับการใช้พลังงานทดแทน เรายังเป็นหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในแถบยุโรปซึ่งย่อมเป็นที่สังเกตของคนทั่วไป”
นอกจากนี้สำนักข่าวรอยเตอร์ยังรายงาน (เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554) อีกว่าVolkswagen ผลิตรถปลอดคาร์บอนไดออกไซด์ สู่ท้องถนน โดยอ้างถึงรายงานข่าวจาก Financial Time เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ภายในอีกสองสัปดาห์นี้ บริษัท โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) จะเปิดตัวรถที่นั่งเดี่ยว หรือมีเพียงหนึ่งที่นั่ง เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดและความทะเยอทะยานของผู้ผลิตรถยนต์ ในการสร้างยานพาหนะที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือไม่มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2- free) Jurgen Leohold หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัท กล่าวว่า “ มันเป็นการเคลื่อนไหวแบบใหม่ และเป็นฟิสิกส์ หากคุณจำกัดรถยนต์สำหรับคนๆเดียว คุณก็จะสามารถออกแบบให้มันเล็กลงและน้ำหนักเบาลงได้ด้วย และก็จะใช้พลังงานน้อยลงในการขนส่งคนเพียงคนเดียว นั่นหมายถึงมันจะมีผลดีกับปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง”
ผู้ผลิตรถยนต์ในเยอรมนีมีแผนที่จะเสนอชุดบริการเต็มรูปแบบสำหรับลูกค้าที่ใช้รถไฟฟ้า โดยรวมกับการขายพลังงานที่ได้จากแหล่งพลังงานทดแทน และมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำอีกสองแห่งในประเทศบราซิล
Jurgen Leohold. กล่าวอีกว่า “การนับค่า คาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ ขึ้นกับว่าไฟฟ้าที่คุณใส่เข้าไปในแบตเตอรี หากมันได้มาจากพลังงานทดแทน ค่าคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะเป็นศูนย์”
No comments:
Post a Comment