25 February 2012

อียูบนเส้นทางสู่เป้าหมายพลังงานหมุนเวียน 2020


จากข้อมูลตีพิมพ์ในรายงานของศูนย์วิจัยร่วมแสดงให้เห็นว่า ประเทศสมาชิกยุโรปตั้งใจที่จะไปถึงเป้าหมายการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ 20 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2020 ในรายงานแผนปฏิบัติการพลังงานหมุนเวียนแห่งชาติ (National Renewable Energy Action Plans, NREAPs) ระบุว่าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมีแผนที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการใช้พลังงานหมุนเวียนถึง 20.7 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020

รายงานของศูนย์วิจัยร่วม (Joint Research Centre; JRC) เป็นการประเมินทางเทคนิคแผนการของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปแต่ละประเทศที่ยื่นต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อให้รายละเอียดเป้าหมายการผลิตพลังงานหมุนเวียนในแต่ละปีจนถึงปี ค.ศ. 2020 เพื่อใช้ในภาคการผลิตกระแสไฟฟ้า ภาคการทำความร้อนและความเย็น และภาคการขนส่ง โดยอธิบายขั้นตอนที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ จากการประเมินของศูนย์วิจัยร่วมแสดงให้เห็นว่าประเทศสมาชิกมากกว่าครึ่งหนึ่งกำลังวางแผนให้เกินเป้าหมายของตนเองและสามารถที่จะเพิ่มส่วนที่เกินไปให้ประเทศสมาชิกอื่นๆด้วย






กล่าวโดยสรุปเป้าหมายส่วนแบ่งไฟฟ้าที่ได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในอียู คาดว่าเพื่อนำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า 34 เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำความร้อนและความเย็น 21.4 เปอร์เซ็นต์ และนำไปใช้ในภาคการขนส่ง 11.7 เปอร์เซ็นต์ โดยการผสมผสานแหล่งพลังงานหมุนเวียนจากพลังงานชีวมวล (45 เปอร์เซ็นต์) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (12 เปอร์เซ็นต์) พลังงานน้ำ 12 เปอร์เซ็นต์ พลังงานลมบนบก 12 เปอร์เซ็นต์ พลังงานลมในทะเล 4.7 เปอร์เซ็นต์ (ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้ก่อนปี ค.ศ. 2015) พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ 2.3 เปอร์เซ็นต์ และพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ 2.4 เปอร์เซ็นต์
การผลิตกระแสไฟฟ้าได้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมมากที่สุด รองลงมาได้จากพลังงานน้ำและชีวมวล ภาคการทำความร้อนและความเย็นได้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลถึง 81 เปอร์เซ็นต์ และภาคการขนส่งพลังงานส่วนใหญ่ได้จากแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ


ที่มา: http://ec.europa.eu/dgs/jrc/index 7 กุมภาพันธ์ 2012 และ JRC reference report, Technical assessment of Renewable Energy Action Plans December 2011

24 February 2012

ไมโครเวฟเผาทำลายอันตรายจากแร่ใยหิน


สำนักข่าวยูโรนิวส์รายงานว่า นายไรสซาร์ด ปาโรซา ประธานกรรมการบริหารบริษัท ATON-HT SA ประเทศโปแลนด์เปิดแถลงข่าวว่า บริษัท ATON-HT SA สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อบำบัดวัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ โดยใช้วิธีการง่ายๆ เพียงเผาทำลายวัสดุที่มีแร่ใยหินในเตาไมโครเวฟที่อุณหภูมิ 1,000 องศาเซลเซียส วัสดุนั้นก็จะไม่มีอันตรายอีกต่อไป

 ลักษณะการเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของเส้นใยแร่ใยหิน หลังผ่านขบวนการเทคโนโลยีบำบัดด้วยความร้อน

เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในภาคสนามได้ โดยติดตั้งเครื่องมือในตู้คอนเทนเนอร์ได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องขนย้ายของเสียอันตราย นับเป็นข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีดังกล่าว




เทคโนโลยีเตาไมโครเวฟของ ATON-HT SA แสดงให้เห็นว่ามีซากของใช้ไม่มีค่าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในงานก่อสร้างในโปแลนด์จนถึงปี พ.ศ. 2540
อีวา บลาซโจสกา รองประธานบริษัท ATON-HT SA อธิบายว่า ปัญหาของแร่ใยหินคือ แร่ใยหินประกอบด้วยเส้นใยที่สามารถเข้าสู่ร่างกายสิ่งมีชีวิตซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งหรือโรคอื่นๆได้ เราเปลี่ยนโครงสร้างของวัสดุเพื่อไม่ให้มีเส้นใยอยู่ในนั้นอีก จึงปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อมและคนที่ทำงานกับแร่ใยหิน

Asbestos Mesothelioma Cancer

ประเทศโปแลนด์ยังคงมีแร่ใยหินอยู่ราวๆ 15 ล้านตัน ในแหล่งฝังกลบ ซึ่งปริมาณนี้จะไม่เพิ่มอีกต่อไป
 แทนที่จะทิ้งปัญหาของเส้นใยแร่ใยหินและเก็บไว้ให้เป็นภาระกับคนรุ่นหลัง ขณะนี้เราสามารถจัดการกับแร่ใยหินได้โดยใช้เทคโนโลยีความร้อนจากไมโครเวฟ
โครงการได้รับการสนับสนุนจากอียูโดยใช้เทคโนโลยีไมโครเวฟเพื่อให้ความร้อนกับแร่ใยหินอย่างทั่วถึงจนไม่เหลือเส้นใยอีก เมื่อได้รับการบำบัดแล้วผลผลิตที่เหลือหลังจากเผาในเตาไมโครเวฟก็ง่ายต่อการนำไปใช้งานได้อีก สามารถนำไปใช้ซ่อมถนน สามารถนำไปผสมกับซีเมนต์เพื่อผลิตอิฐหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆได้ ข้อดีที่สุดคือไม่มีของเสียเหลือใช้จากแร่ใยหินที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกต่อไป

ที่มา: http://www.euronews.net/sci-tech/  15 กุมภาพันธ์ 2012 ภาพจาก www.aton-ht.com

23 February 2012

เจอทางตัน!!! สหภาพยุโรปอาจแพ้โหวตกฎหมายทรายน้ำมันดิน


การโหวตของสหภาพยุโรปที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012 เกี่ยวกับร่างกฎหมายกับป้ายกำกับเชื้อเพลิงจากทรายน้ำมันดินซึ่งก่อมลพิษอย่างมากมีแนวโน้มที่จะเจอทางตัน แหล่งข่าวของสหภาพยุโรปกล่าวโดยวาดภาพการวิ่งเต้นแย่งชิงพื้นที่ระหว่างผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่แคนาดาและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ดังนี้

มีแนวโน้มว่าหลายประเทศอาจงดออกเสียง เช่น เยอรมนีซึ่งเป็นประเทศสมาชิกที่ทรงพลังที่สุดของสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และเนเธอร์แลนด์ซึ่งทั้งสองมีสัดส่วนการถือหุ้นในรอยัลดัตช์เชลล์ซึ่งผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมันดิน ในขณะที่สเปนซึ่งมีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่และเอสโตเนียซึ่งเป็นแหล่งสำรองหินน้ำมันที่จะได้รับการจัดอันดับให้เป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนเข้มข้นคาดว่าจะออกเสียงคัดค้านเช่นเดียวกับโปแลนด์


แหล่งที่มา : http://planetark.org/wen/64769
ฝรั่งเศสซึ่งบริษัทน้ำมันโทเทลมีส่วนร่วมในการผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมันดินมีแนวโน้มที่จะงดออกเสียงนอกเสียจากว่าเสียงส่วนใหญ่จะให้การสนับสนุนและยังคงมีโอกาสที่เนเธอร์แลนด์จะลงคะแนน "รับรอง" ให้
แม้ว่าแคนาดาจะไม่ได้ขายน้ำมันดิบไปยังยุโรปโดยตรง แต่มีข้อกังวลใจว่าการค้าน้ำมันในตลาดอื่นอาจเสียหายจากป้ายความสกปรกนี้ นอกจากนี้ยังเห็นว่ากฎหมายของสหภาพยุโรปอาจส่งผลเสียหายต่อความสัมพันธ์ทางการค้าอีกด้วย

การออกกฎหมายของสหภาพยุโรป จำเป็นต้องได้รับมติเสียงส่วนใหญ่จากประเทศสมาชิก 27  ประเทศ ซึ่งสัดส่วนคะแนนขึ้นกับขนาดของประชากรของแต่ละประเทศสมาชิก การออกกฎหมายแต่ละฉบับต้องการเสียงสนับสนุนอย่างน้อยร้อยละ 55 ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรือคิดเป็นอย่างน้อยร้อยละ 65 ของจำนวนประชากรทั้งหมด

มีโอกาสน้อยมากที่กฎหมายฉบับนี้จะผ่านการรับรองด้วยเสียงข้างมาก ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่าหากไม่สามารถผ่านกฎหมายฉบับนี้ได้จากการการลงคะแนนเสียงในวันที่ 23 ก.พ. 2012 จะมีการยกระดับการอภิปรายจากระดับของคณะกรรมการด้านเทคนิคไปเป็นการอภิปรายระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิก
 
อุตสาหกรรมน้ำมันวิพากษ์วิจารณ์ว่ากฎหมายที่นำเสนอจะสร้างภาระการบริหารที่ไม่สมควร ในขณะที่สมาคมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในยุโรป (ยูโรเปีย) มีการอภิปรายต่อไปว่าข้อเสนอของสหภาพยุโรปจะทำให้นโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนล้มเหลว  เสียการรักษาความมั่นคงด้านอุปทาน ราคาวัตถุดิบจะปรับเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเปราะบางทางเศรษฐกิจและเพิ่มความตึงเครียดต่อประเทศคู่ค้า
ภาคอุตสาหกรรมน้ำมันให้การสนับสนุนแคนาดาซึ่งเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกให้คัดค้านกฎหมายการจัดอันดับทรายน้ำมันดินฉบับนี้

20 February 2012

เกษตรกรสหภาพยุโรปสูญเสียเมื่อผู้บริโภคต่อต้านพืช GMOs

เกษตรกรในยุโรปมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้แข่งขันที่ถูกทิ้งห่างในตลาดข้าวโลก เนื่องด้วยผู้บริโภคในสหภาพยุโรปคัดค้านสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) ทุกชนิด เป็นผลให้การวิจัยด้านการเพาะปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนสูงและทนต่อศัตรูพืชต้องถูกคัดออกและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ที่ผ่านมาสหภาพยุโรปอนุมัติให้มีการเพาะปลูกพืชจีเอ็มโอเพียงชนิดเดียวคือ  ข้าวโพดมอนซานโตที่ทนต่อแมลง(MON810) การคัดค้านที่รุนแรงทำให้เยอรมนี, ออสเตรีย, กรีซ, ฮังการี, ลักเซมเบิร์กและบัลแกเรีย ห้ามการปลูกพืชดังกล่าว

การขอเลื่อนการชำระหนี้ของประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของยุโรปเป็นโมฆะด้วยเหตุผลทางกฎหมายในเดือนพฤศจิกายน 2011 แต่รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะคืนสถานะการห้ามก่อนการเริ่มฤดูไถหว่านในบางภูมิภาคในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2012 นี้
เป็นที่ชัดเจนว่าในทวีปที่เทคโนโลยีจีเอ็มโอสามารถเข้าถึงได้ พวกเขาจะไปได้เร็วกว่าในยุโรป ดังนั้นยุโรปจะสูญเสียในแง่ของการแข่งขันเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับข้าวโพดเลี้ยงปศุสัตว์
ในปี 2007 ก่อนที่ฝรั่งเศสจะกำหนดเลื่อนการชำระหนี้ของตน สายพันธุ์พืชจีเอ็มโอป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียผลผลิตเนื่องจากศัตรูพืชเฉลี่ย 0.5 ตันต่อเฮกเตอร์ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 100 ยูโรต่อเฮกเตอร์ ทั้งนี้รวมต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์พืชจีเอ็มโอที่มีราคาสูงกว่าเมล็ดพันธุ์พืชธรรมดา 35-40 ยูโรต่อเฮกเตอร์แล้ว
พันธุ์ข้าวโพด MON810 ช่วยเกษตรกรประหยัดสารกำจัดศัตรูพืชได้ 8,800 ลิตรและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ฉีดพ่นถึง 30,000 ลิตร 
อย่างไรก็ตามความเสียหายในการแข่งขันของยุโรปในตลาดโลกมีจำกัด ด้วยการเพาะปลูกพืชส่งออกที่สำคัญของยุโรปคือ ข้าวสาลี ซึ่งงานวิจัยและพัฒนาด้านจีเอ็มโอยังมีไม่มากนักในปัจจุบัน ในขณะที่ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงปศุสัตว์ของยุโรปมีสูงถึงครึ่งหนึ่งของการผลิตข้าวสาลี  

จากการศึกษาโดยบริษัทบริการล็อบบี้ด้านเทคโนชีวภาพระหว่างประเทศเพื่อการเข้าซื้อกิจการด้านเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพประยุกต์ (
International Service for the Acquisition of Agri-Biotech Applications, ISAAA) พบว่าเมื่อปีที่ผ่านมา(2011) ทั่วโลกมีการปลูกพืชจีเอ็มโอเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 สูงเป็นประวัติการณ์คิดเป็นพื้นที่เท่ากับ 160 ล้านเฮกเตอร์
ในปี 2011 เกษตรกรยุโรปหว่านข้าวโพดจีเอ็มโอในพื้นที่ 114,490 เฮกเตอร์ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 1 ของพื้นที่การปลูกข้าวโพดทั้งหมดของสหภาพยุโรป ในขณะที่มีการเพาะปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอถึงร้อยละ 88 ในประเทศสหรัฐอเมริกา
เปนปลูกข้าวโพด MON810 คิดเป็นร้อยละ 85 ของพื้นที่ทั้งหมดของสหภาพยุโรปหรือประมาณหนึ่งในสี่ของข้าวโพดที่ปลูกทั้งหมดในประเทศ

ยุโรปสามารถหาตลาดสำหรับการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงปศุสัตว์เพิ่มขึ้นได้ในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางเพื่อเลี้ยงประชากรสัตว์ปีกที่กำลังเพิ่มขึ้น ปัจจุบันตลาดเหล่านี้มีการซื้อขายสินค้าส่วนใหญ่กับประเทศอาร์เจนตินา, บราซิล, สหรัฐอเมริกา, ยูเครนและบางครั้งกับฝรั่งเศส  

โดยการเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงปศุสัตว์ สหภาพยุโรปจะสามารถลดการนำเข้าพืชจีเอ็มโออื่นๆ เช่น ข้าวโพดข้าวเหนียวและกากถั่วเหลืองที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์จากปัจจุบันได้ถึงปีละประมาณ 30 ล้านตัน
“เป็นเรื่องน่าขำที่เราต้องนำเข้าพืชจีเอ็มโอมิฉะนั้นเราจะไม่สามารถอยู่รอดได้” Marc Van Montagu ประธานสภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพแห่งสหภาพยุโรปกล่าว
บริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นนำของโลกบางบริษัทล้มเลิกแผนการพัฒนาพืชจีเอ็มโอเพื่อป้อนตลาดยุโรป เช่นบริษัทพืชศาสต​​ร์บีเอเอสเอฟ ซินเจนทา และ เบเยอร์ครอฟซายน์   ในขณะที่บริษัท ไบโอเทค เช่น มอนซานโต ลิมาเกรน และ KWS Saat ตัดงบวิจัยโครงการเล็กๆที่ดำเนินการในบางประเทศของยุโรปที่อนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอลงแล้ว
เกษตรกรในประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกธัญพืชรายใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรปกลัวการบินหนีของนักวิจัยของตนไปต่างประเทศจะมีผลกระทบที่สำคัญในระยะยาว

Guy Vasseur ประธานหอการค้าฝรั่งเศสเกษตรกล่าวว่า "นักวิจัยทั้งหมดตอนนี้ไปอยู่ต่างประเทศ นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจทนได้ ซึ่งไม่ช่วยให้เราเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต" "บางคนบอกว่าเราต้องรอพืชจีเอ็มโอรุ่นที่สอง แต่เมื่อคุณพลาดขั้นตอนแรกคุณก็จะพลาดขั้นที่สองและคุณมีโอกาสน้อยมากที่จะอยู่ในรุ่นต่อๆไป" เขากล่าวเสริม



ไม่ใช่เกษตรกรในยุโรปทั้งหมดที่ยอมรับว่าการเข้าถึงพืชจีเอ็มโอจะเป็นประโยชน์ "การเพาะปลูกของพืชจีเอ็มโอไม่เพียงนำไปสู่ปัญหาความปลอดภัยด้านอาหาร แต่ยังมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศ เช่น อิตาลี ซึ่งที่ดินและขนาดของฟาร์มมีลักษณะพิเศษเฉพาะที่การหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมเป็นไปได้ยากยิ่ง" 
 นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่าไม่เห็นความแตกต่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนจากการดัดแปลงพันธุกรรมเมื่อเทียบกับพืชทั่วๆไป
Herve Guyomard ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการเกษตรแห่งชาติฝรั่งเศส(INRA)ศูนย์วิจัยฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป กล่าว "หากเรายังปล่อยความพยายามและดำเนินการวิจัยแบบเดิมๆซึ่งรวมถึงพันธุศาสตร์ แต่ไม่เอาพืช GMOs ก็มั่นใจได้ว่าเราจะไม่สามารถก้าวทันประเทศที่พัฒนาเทคโนโลยีจีเอ็มโอที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมผลผลิต"

แหล่งที่มา : ข่าวรอยเตอร์ http://planetark.org/wen/64730

17 February 2012

การรวมพลังงานสะอาด

ดูเหมือนว่าพลังงานสะอาดจะประสบปัญหาในการรักษาอัตราการเจริญเติบโตของการลงทุนให้อยู่ในระดับสูงเหมือนเช่นเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา แรงส่งของการเจริญเติบโตคือ ความต้องการทดแทนแหล่งพลังงานถ่านหินด้วยพลังงานสะอาดของประเทศต่างๆ


อัตราการเจริญเติบโตต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากการถูกตัดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลและการขาดแคลนแหล่งเงินลงทุนสำหรับโครงการ เทคโนโลยีไม่ได้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่นักแต่อยู่ในช่วงของการแก้ไข ในตลาดซีกโลกกำลังพัฒนารัฐบาลมีภาระผูกพันเพิ่มขึ้นในโครงการพลังงานสะอาด เช่น อเมริกาใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง
มีแนวโน้มการเคลื่อนย้ายจากตลาดหนึ่งไปยังอีกตลาดหนึ่งแต่อาจใช้เวลา นอกจากนี้ยังมีการควบรวมในหมู่บริษัทที่หมุนเวียนในตลาดมากขึ้นเพื่อความอยู่รอดโดยเฉพาะในบริษัทจากเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น แต่ไม่พบความร่วมมือแบบบูรณาการใหม่ๆ เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ความไม่แน่นอนด้านพลังงานทดแทนและการสนับสนุนของรัฐบาล มีผลโดยตรงต่อเงินลงทุนของโครงการ เมื่อไม่มีภาระผูกพันระยะยาว นักลงทุนก็ขาดความสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด จึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเพื่อลดการไหลของเงินลงทุนและดึงเงินทุนเข้าสู่ตลาดในรูปของพันธบัตรสีเขียวและการปรับโครงสร้างเงินทุนใหม่


นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นไปยังโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ไม่มีเหตุผลที่นักลงทุนในยุโรปจะไปลงทุนในบริษัทผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งจีนครองตลาดอยู่ แต่ยังคงมีโอกาสการลงทุนในเทคโนโลยีกริดอัจฉริยะ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ตลาดชิ้นส่วนประกอบพลังงานแสงอาทิตย์และกังหันของพลังงานลม เป็นต้น



แหล่งที่มา: ข่าวรอยเตอร์ http://planetark.org/wen/64713

ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกระตุ้นผู้นำสหภาพยุโรปให้การสนับสนุนกฎหมายทรายน้ำมันดิน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ กลุ่มผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมลงนามในจดหมายกระตุ้นผู้นำสหภาพยุโรปเพื่อให้การสนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปที่จัดเชื้อเพลิงจากน้ำมันทรายดินเป็นแหล่งผลิตที่ก่อให้เกิดมลพิษอย่างมาก

"การพัฒนาทรายน้ำมันดิน (Tar Sand) เป็นแหล่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศแคนาดาที่เติบโตเร็วมากและคุกคามสุขภาพของดาวเคราะห์ดวงนี้" แปดผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมทั้ง อาร์คบิชอปเดสมอนด์ตูตูจากแอฟริกาใต้และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอิหร่าน ชิริน อีบาดี กล่าวในจดหมายว่า "As the tar sands have contributed to rising emissions, Canada recently stepped away from the Kyoto Protocol. Europe must not follow in Canada's footsteps." "ในขณะที่ทรายน้ำมันดินมีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น แคนาดากลับถอนตัวออกจากพิธีสารเกียวโตเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยุโรปจะต้องไม่เดินตามรอยเท้าของแคนาดา"

นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างมากมายที่ระบุว่าน้ำมันทรายดิบเป็นแหล่งคาร์บอนเข้มข้นกว่าน้ำมันจากแหล่งอื่น ๆ ดังนั้นการเปลี่ยนรูปแบบของพลังงานไปสู่พลังงานสีเขียวควรหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่จะดึงทุกหยดสุดท้ายของน้ำมันออกมาใช้
เป็นที่คาดหวังว่าเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปจะลงมติในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ในร่างการแก้ไขกฎระเบียบว่าด้วยคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงรวมทั้งทรายน้ำมันดิน  ซึ่งมีการจัดอันดับเพื่อให้ผู้ซื้อขายเชื้อเพลิงสามารถมีตัวเลือกว่าแหล่งผลิตเชื้อเพลิงใดมีการปล่อยคาร์บอนเข้มข้นมากที่สุด
ข้อเสนอดังกล่าวมีการก่อกวนจากการวิ่งเต้นอย่างเข้มข้นโดยแคนาดา ซึ่งเป็นแหล่งสำรองน้ำมันขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และเกือบทั้งหมดอยู่ในรูปของทรายน้ำมันดินหรือบางครั้งเรียกว่าทรายน้ำมัน (Oil Sand) โดยแคนาดาโต้แย้งสหภาพยุโรปว่า เป็นการกีดกันที่ไม่เป็นธรรม  
ภายใต้ร่างข้อเสนอทรายน้ำมันดินของสหภาพยุโรป มีการกำหนดค่าเริ่มต้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้ที่ 107 กรัมของคาร์บอนต่อพลังงานหนึ่งล้านจูล ซึ่งเป็นเครื่องแสดงให้ผู้ซื้อทราบว่าการผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมันดินมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการผลิตน้ำมันจากน้ำมันดิบซึ่งค่าเริ่มต้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 87.5 กรัมของคาร์บอน

ผู้ชนะรางวัลโนเบลกล่าวว่า กฎระเบียบ (directive) ของสหภาพยุโรปว่าด้วยคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถเคลื่อนยุโรปจากประเทศที่พึ่งพาน้ำมันจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติไปสู่ประเทศที่พึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้หากนโยบายดังกล่าวนำไปใช้อย่างถูกต้อง
พวกเขายังกล่าวยกย่องประธานาธิบดีบารักโอบามาแห่งสหรัฐที่ปฏิเสธข้อเสนอการสร้างท่อส่ง Keystone XL ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมันดินและเพิ่มการขนส่งน้ำมันจากแคนาดาไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา
ตอนหนึ่งของคำกล่าวตอบจดหมาย โดย Franziska Achterberg ที่ปรึกษานโยบายการขนส่งที่กรีนพีซแห่งสหภาพยุโรป กล่าวว่า "แม้พวกคลั่งไคล้น้ำมันของอเมริกายังปฏิเสธที่จะเล่นพนันในเกมนี้และพับแผนท่อส่งน้ำมันทรายในฤดูหนาวนี้ขึ้นหิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"
"คำถาม คือ ยุโรปเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะพูดคำว่า “ไม่” ต่อทั้งนักล็อบบี้น้ำมันและต่อทรายน้ำมันดินซึ่งเป็นตัวแทนของความตรงกันข้ามอย่างแท้จริงต่ออนาคตของสภาพภูมิอากาศที่สะอาดและเป็นมิตรที่พวกเราต้องการอย่างเร่งด่วน"
การเจรจาของรัฐมนตรีสหภาพยุโรปในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะเป็นเรื่องยากและไม่น่าที่จะได้รับเสียงข้างมากที่มีคุณภาพ ในขณะที่การคัดค้านการจัดอันดับทรายน้ำมันดินเป็นแหล่งมลพิษปลุกปั่นให้มีผู้ออกมาคัดค้านในบางประเทศของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นฐานบริษัทน้ำมันของประเทศแคนาดา เช่น รอยัลดัตช์เชลล์, บีพีและโทเทล ได้เริ่มขึ้นแล้ว   




หากเจอทางตันการอภิปรายอาจเปลี่ยนจากระดับของผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของสหภาพยุโรปไปเป็นการอภิปรายแบบเปิดเผยระหว่างรัฐมนตรีสหภาพยุโรป ซึ่งคณะกรรมาธิการสามารถตัดสินใจที่จะแก้ไขข้อเสนอของตน
แหล่งที่มา: http://planetark.org/wen/64714  

ท่าทีของไทยต่อข้อริเริ่ม ASEAN-EU-SCIENCE AND TECHNONOGY YEAR 2012


ประเทศไทยเห็นด้วยกับวัตถุประสงค์ของข้อริเริ่มที่จัดให้ปี 2012 เป็นปีแห่งความร่วมมือระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับสหภาพยุโรปด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ “Southeast Asia-EU Science and Technology Year 2012”และผลประโยชน์ที่จะได้รับดังเช่น การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเจรจาในระดับสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองภูมิภาค ส่งเสริมความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทั้งสองภูมิภาค เพิ่มความตระหนักของสาธารณะชนต่อคุณค่าของความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มีความเข้าใจมากขึ้นในการใช้กลไกที่มีเพื่อสนับสนุนความร่วมมือในการทำวิจัยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสหภาพยุโรปกับภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยจะเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมของการริเริ่มครั้งนี้ด้วย

          ประเทศไทยในฐานะเป็นประเทศหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ (ICPC) ในการทำวิจัยร่วมกันภายใต้กรอบแผนงานฉบับที่ 7 ต้องการดำเนินความร่วมมือกับสหภาพยุโรปโดยผ่านโปรแกรมความร่วมมือของแผนฉบับบที่ 7 หัวข้อการวิจัยได้แก่ ด้านสุขภาพ  อาหาร การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์นาโน เทคโนโลยีนาโน เทคโนโลยีวัสดุและผลิตภัณฑ์ใหม่ พลังงาน สิ่งแวดล้อม (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) การขนส่ง ความปลอดภัยและอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือด้านงานวิจัย และนวัตกรรม ความร่วมมือด้านการถ่ายทอดทางเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนนักวิจัยและนักศึกษาปริญญาเอก ที่เน้นด้าน ระบบและการบริการด้านสุขภาพ  ความมั่งคงปลอดภัยด้านอาหาร เทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีด้านสาระดิจิตอล รวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่ในอนาคตด้วย  เทคโนโลยีชีวภาพนาโน เทคโนโลยีวัสดุ สำหรับ เซลล์แสงอาทิตย์ ลม และเซลส์เชื้อเพลิง ระบบพลังงานอัจริยะ พลังงานทดแทน และระบบวัดรังสีชีวภาพสำหรับเตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉินทางรังสี (ความปลอดภัยสำหรับพลเมือง) และยังสนใจต่อหัวข้อวิจัยร่วมกันที่ริเริ่มอีกสามหัวข้อใหญ่ของโปรแกรมความร่วมมือในปี 2012 นี้ได้แก่ ข้อริเริ่มรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (รถสีเขียว) ข้อริเริ่ม การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ข้อริเริ่ม โรงงานในอนาคต
          ประเทศไทยประสงค์ที่จะสร้างความร่วมมืออย่างแข็งขันในอนาคตกับสหภาพยุโรปใน ความร่วมมือระดับทวิภาคีในเรื่องของความท้าทายของสังคม อันได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ประชากรผู้สูงอายุ การขาดแคลนทรัพยากรและพลังงาน โรคเรื้อรัง สนับสนุนการเจรจาด้านนโยบาย และการพัฒนาความร่วมมือด้านนวัตกรรมต่อไป

14 February 2012

รถแท็กซี่แห่งอนาคต ฮีทโธร์วพอด




แท็กซี่แห่งอนาคตหรือที่ผู้คนเรียกว่า ฮีทโธร์วพอดทางเลือกใหม่ของการเดินทางในเมืองที่แออัด โดยไม่ต้องรอรถโดยสารประจำทาง ไม่ต้องรอรถบริการผู้โดยสาร เพียงแต่เรียกใช้แท็กซี่แห่งอนาคตนี้

            ฟราเซอร์  บราวน์ กรรมการผู้จัดการของอัลตร้า โกลบอล พีอาร์ที กล่าวว่า นี่เป็นระบบขนส่งส่วนบุคคลความเร็วสูง การทำงานของยานพาหนะเป็นแบบอัตโนมัติ (ไร้คนขับ) วิ่งรับส่งจากที่จอดรถชั้นธุรกิจที่อาคารผู้โดยสาร 5 ไปยังอาคารผู้โดยสารขาออก ของสนามบินฮีทโธร์ว ขณะนี้มีระบบฮีทโธร์วพอด รวม ทั้งหมด 21 คัน พร้อมที่จะ
ทำงานอย่างเต็มที่ เพียงแต่คุณ ขึ้นมาบนรถเหมือนกับที่คุณเข้ามาที่ลิฟต์ของล็อบบี้ เพียงแค่กดปุ่ม ประตูก็จะเปิด และพาคุณไป

            กว่าจะพัฒนาให้เป็นระบบที่สมบูรณ์ได้ต้องใช้เวลาเป็นศตวรรษ เริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ จากการสนับสนุนทุนของสหภาพยุโรปหลายๆโครงการและเพื่อให้ระบบมีความน่าไว้วางใจ คณะทำงานได้นำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วมาใช้ร่วมด้วย เช่น ยางรถยนต์

            อดัม รูดเดิล หัวหน้าหน่วยวิศวกรรมยานพาหนะของบริษัท อัลตร้า โกลบอล พีอาร์ที กล่าวว่า แบตเตอรีที่ใช้มาจากสเปนซึ่งมีการผลิตเป็นปกติอยู่แล้ว เครื่องยนต์ผลิตในอิตาลีซึ่งปกติใช้กับรถไฟฟ้าระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลางในห้องควบคุม จะควบคุมและคำนวณระยะที่รถฮีทโธร์วพอด วิ่งไปบนพื้นถนนโดยไม่ต้องใช้ราง จำนวนการหมุนของล้อจะบอกระยะทางที่วิ่ง และยังมีเลเซอร์เซ็นเซอร์วัดระยะระหว่างรถกับขอบทางสองข้าง เป็นการบอกตำแหน่งที่จะขับเคลื่อนไป
          
ความไว้วางใจของการใช้งานมีถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่าง เช่น พฤติกรรมของผู้โดยสารที่วิศวกรยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า  ปกติเวลาเรานั่งบนรถ จะนั่งตัวตรงบังคับปุ่มที่อยู่ในตำแหน่งที่แน่นอนสมบูรณ์ แต่ตอนนี้เราพบว่าผู้โดยสารมักอยู่ในท่าสบายๆในรถ อาจจะหมุนเล็กน้อย หรือพิงไปอีกข้างหนึ่งและสุดท้ายใช้ไหล่กดปุ่มอดัมกล่าว

             ฮีทโธร์วพอดมีเพียงแห่งเดียวในยุโรป ที่วิ่งได้โดยไม่ต้องใช้สายไฟฟ้าทำให้ประหยัดได้ถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับการใช้รางรถไฟฟ้าปกติ เป็นการเดินทางแบบรอบเดียวถึงจุดหมาย ไม่หยุดแวะระหว่างทาง ตั้งแต่ออกจากจุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางตามความต้องการของผู้โดยสารเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่ห้องควบคุมจะควบคุมการวิ่งไปในระยะทางที่กำหนด ใช้เวลาประมาณ ห้านาที (ระยะทางประมาณ 1.9 กิโลเมตร) คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ประมาณ 500,000 คนต่อปี มีช่องทางวิ่งรวมสองช่องทาง ฮีทโธร์วพอด เป็นนวัตกรรมของการขนส่งด้วยเทคโนโลยีสีเขียว  ซึ่งประหยัดพลังงาน ฟราสเซอร์ บราวน์ กล่าวสรุปว่า สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือนำเทคโนโลยีจากภาคยานยนต์มาใช้ในการปรับปรุงระบบปฏิบัติงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายในอนาคต


ที่มาและภาพ:   European Commission, Research&Innovation, Star project 17 มกราคม 2555 และ www.ultraprt.com/heathrow

12 February 2012

ใบกะเพรา




ชื่อภาษาอังกฤษ
     
Holy basil, Sacred basil
ชื่อวิทยาศาสตร์
     
Ocimum tenuiflorum L.


   สรรพคุณ
ใบแห้ง   บดเป็นยานัตถุ์แก้คัดจมูก   ใบและยอดทั้งสดและแห้ง   แก้อาการท้ออืด   ท้องเฟ้อปวดท้อง    คลื่นไส้อาเจียน   ราก   ทำยาชง  แก้ธาตุไม่ปกติ  แก้ไข้  เมล็ด  มีมิวซิเลจ (ถูกหลั่งใน endosperm ของเซลล์พืช เพื่อทำหน้าที่ป้องกันการเกิด dehydration มากเกินไป)

องค์ประกอบทางเคมี
     
กะเพราแดง ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydro-distillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันวิเคราะห์โดย GC-MS ประกอบด้วยสาร 15 ชนิด ดังนี้
a-pinene  (0.51),   camphene  (0.51),   b-pinene  (0.48),  1,8-cineol+limonene  (0.35), linalool (0.32), borneol (1.18), a-copaene (1.04), b-bourbonene (0.58), [+]-b-elemene (5.24),  methyl   eugenol   (81.72),   caryophyllene    (0.58),  a-humulene   (1.32), germacrene  D  (4.40),  cyclohexane-1-ethenyl-1-methyl-2,4-bis[1-methyl-ethenyl] (0.36), d-cadinene (0.15)

กะเพราขาว ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันวิเคราะห์โดย GC-MS ประกอบด้วยสารทั้ง 15 ชนิดเช่นเดียวกันเพียงแต่ปริมาณแตกต่างกันเท่านั้น 
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
     
มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย  ต้านออกซิเดชัน ไล่แมลง และขับพยาธิ  
ความเป็นพิษ
     
methyl   eugenol     ซึ่งเป็นสารหลักในน้ำมันมีรายงานว่าเป็นสารพันธุพิษอยู่ในประเภทเดียวกับ   safrole,   estragol   มีค่า ขนาดของยาที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) โดยการป้อนทางปากให้หนูขาวเป็นค่า 0.81-1.56 กรัมต่อกิโลกรัม เป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและการแพ้ทางผิวหนัง
            ชาวอินเดียบูชาใบกระเพราเป็นใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับตั้งชื่อให้ว่า โฮลลี่ เบซิล (Holy Basil) เพราะนอกจากชาวอินเดียจะใช้ใบกระเพราบูชาเทพเจ้าแล้ว ยังกะเพราปรุงอาหารประจำวัน ซึ่งก็ไม่ต่างกับคนไทยที่อาศัยกลิ่นและรสของใบกระเพราดับกลิ่นคาวและชูรสอาหาร และยังใช้น้ำต้มใบกระเพราดื่มช่วยขับลมแน่นในท้อง
             เหยาะน้ำต้มกระเพราะ 2-3 หยด ผสมน้ำนม ขนาด 15 ซีซี ให้ทารกดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อันเป็นสาเหตุให้เด็กร้องไห้โยเย
             สรรพคุณสำคัญของใบกะเพรา ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันทั้งที่ใช้บริโภคกันอยู่ในชีวิตประจำวันก็คือ สรรพคุณในการขับไขมัน ตำรับอาหารไทยจำพวกผัดกะเพราเนื้อ กะเพราหมู กะเพราไก่นอกจากจะใช้ใบกะเพราดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์แล้ว กะเพรายังช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกายได้อีกด้วย




             มีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวถึงสรรพคุณอันหลากหลายของใบกะเพรา ในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะสรรพคุณที่เชื่อมโยงกับฤทธิ์ลดไขมันและน้ำตาลของใบกะเพรา ดังนี้
                http://www.krubanchang.com/template/lib_images/lazy.gif
ฤทธิ์ลดไขมัน
             จากการทดสอบฤทธิ์ของกะเพราในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายได้รับใบกะเพราสดผสมในอาหาร เพียง 1-2 กรัม/กก./วัน เป็นเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ เมื่อตรวจเลือดสัตว์ทดลองพบว่า ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม (Total Cholesterol) ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ฟอสโฟไลปิด (Phospholipids) ลดลงอย่างฮวบฮาบ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอเลสเตอรอลตัวเลว (Low Density Lipoprotein-LDL-Cholesterol) ลดลง พอๆ กับที่คอเลสเตอรอลตัวดี (High Density-HDL-Cholesterol) เพิ่มขึ้น

ฤทธิ์ลดน้ำตาล
             จากการศึกษาในหนูทดลอง โดยให้ผงใบกะเพราขนาด 200 มิลลิกรัม/กก./วัน ในหนู 3 ประเภท ได้แก่ หนูปกติ หนูที่มีภาวะน้ำตาลสูงจากการให้กลูโคส และหนูที่เป็นเบาหวานโดยการทำลายตับอ่อน พบว่ากะเพราสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองทั้ง 3 ประเภท นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยในใบกะเพรา  (Basil Essential Oil) ยังช่วยให้กลไกควบคุมน้ำตาลในเลือดเป็นปกติอีกด้วย
            เมื่อใบกะเพรามีฤทธิ์ลดไขมันและน้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมมีผลทำให้มวลร่างกายลดลงอย่างเห็นหน้าเห็นหลัง   โดยเฉพาะน้ำตาลซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคอ้วนมากกว่าไขมันเสียอีก อย่างไรก็ตาม การบริโภคใบกะเพราให้ได้ผลในการลดความอ้วนนั้น จะต้องบริโภคทุกวันให้ถูกวิธี ดังนี้

ความสดของใบกะเพรา ใบกะเพราสดมีน้ำมันหอมระเหยมากกว่าใบกะเพราที่ปรุงสุกแล้ว หรือถ้าใช้ผงกะเพรา จะต้องได้จากกระบวนการอบระเหย เอาเฉพาะน้ำออกไปโดยไม่สูญเสีย น้ำมันหอมระเหยหลายชนิดในใบกะเพรา
ขนาดการใช้ แนะนำให้ใช้ขนาดเท่ากับในสัตว์ทดลองคือ กะเพราสด 2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เช่น ถ้าน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ก็ต้องบริโภคใบกะเพราะสดวันละปริมาณ 140-150 กรัม

ถ้าสามารถบริโภคกะเพราตามวิธีข้างต้นได้รับรองว่า   นอกจากท่านจะสามารถลดน้ำหนักร่างกายได้หุ่นดีสมใจนึกแล้ว ยังมีสุขภาพดีอีกด้วย เพราะใบกะเพรานอกจากจะมีฤทธิ์ลดไขมันลดน้ำตาลแล้ว ยังมีฤทธิ์รักษาโรคเบาหวาน  ลดการทำลายผนังหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดอุดตัน ลดภาวะความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคหัวใจวาย และโรคเส้นเลือดในสมองตีบตัน อันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมากในคนอ้วนทั้งหลา

     



แหล่งที่มา: http://www.tistr.or.th/essentialoils/plant_กะเพรา.htm และhttp://www.krubanchang.com/i